Thursday, November 3, 2011

DRs Seager (ดร ซีเกิล) ค้นความลับเพื่อผิวสมบูรณ์แบบ

ผลิตภัณฑ์ DRs Seager เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าของคุณได้อย่างสมบูรณ์แบบและอ่อนโยนต่อผิวของคุณ ไม่ว่าคุณจะมีปัญหาสิว กระ ฝ้า ริ้วรอย การหย่อนคล้อย หรือปัญหาอื่น ๆ ด้วยนวัตกรรมใหม่ที่คิดค้นขึ้นมาโดย DRs Seager จะช่วยแก้ปัญหาผิวของคุณ ให้ผิวของคุณกลับมาอยู่ในสภาพผิวที่มีสุขภาพดี ไร้ปัญหาต่าง ๆ

ดิฉันเองเป็นคนหนึ่งที่คอยเปลี่ยนผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบ่อย ๆ เพราะยังไม่เจอตัวไหนที่แก้ปัญหาผิวได้ดั่งใจ
จนกระทั่งเพื่อนดิฉันได้แนะนำ DRs Seager ตอนแรก ๆ ก็ไม่กล้าใช้ เพราะไม่รู้จัก แต่พอศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์แล้วได้ลองใช้เอง ดิฉันสังเกตได้ว่าผิวหน้าดีขึ้น รู้สึกว่าผิวเนียนแล้วก็ตึงขึ้นภายในเวลาประมาณ สอง สัปดาห์

วิธีการใช้ก็ไม่ยุ่งยากค่ะ ถ้าสนใจสามารถติดต่อได้ที่ chompoonuch23@hotmail.com หรือ โทรมาที่ 089 1212426 ไม่จำเป็นว่าติดต่อมาแล้วต้องซื้อ โทรมาคุยถามข้อมูลก่อนได้ค่ะ

Testimonial - บุคคลที่ใช้ผลิตภัณฑ์จริง





ชุดผลิตภัณฑ์ DRs Seagerใน 1 ชุด จะมีผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 5 ตัว คือ

1. คลีนเซอร์ ด้วยส่วนผสมจากวิตามินซี อ่อนโยนแต่มีประสิทธิภาพ ช่วยทำความสะอาดผิวทุกวันจากเครื่องสำอางค์ สิ่งแปลกปลอม และช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วเพื่อเผยผิวสะอาด เปล่งปลั่งจากน้ำหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติ สารสกัดจากพืชพรรณธรรมชาติและอโรเวล่าออยล์ให้ผิวเนียนนุ่มและสดชื่น


2. โทนเนอร์ ฟื้นฟูสภาพผิวหลังการล้างหน้าด้วยโทนเนอร์จากสารสกัดจากพืชพรรณธรรมชาติและกรดซิตริก (วิตามินซี) ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือทำให้ผิวแห้ง สารสกัดจากธรรมชาติและกรดผลไม้ช่วยสมานผิว กระชับรูขุมขน และปรับความสมดุลย์ค่า พีเอช ของผิวให้พร้อมสำหรับการดูแลผิวในขั้นตอนต่อไป เหมาะกับทุกสภาพผิว

3. สกินไลท์ ที3 ประกอบด้วยไอดีบีโนนและวิตามินซี สกินไลท์ที 3 เป็นทรีทเม้นท์เข้มข้นสำหรับผิวหยาบกระด้าง มีริ้วรอยสิว และสีผิวไม่สม่ำเสมอ เสริมการสร้างเซลล์ผิวใหม่ด้วยการลอกเซลล์ผิวในระดับไมโครเพื่อต่อต้านริ้วรอยและทำให้ผิวหน้าสดใสด้วยส่วนประกอบที่มีประสิทธิภาพ




4. สกินรีคอมที 4 ทำให้ขั้นตอนการดูแลผิวพรรณสมบูรณ์ ด้วยส่วนผสมที่มีหน้าที่หลากหลายและสารต่อต้านอนุมูล อิสระซึ่งงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ปลอบประโลมผิวเป็นพิเศษในขณะสร้างเซลล์ผิวใหม่ รักษาน้ำหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติและให้ผิวคงความชุ่มชื้น





5. ดีอาร์เอส ซีเกอร์ ซันสกรีน ครีมป้องกันแสงแด ช่วยป้องกันผิวจากริ้วรอยก่อนวัยและปกป้องผิวไม่ให้คล้ำเสียจากการทำลายของรังสี UVA/UVB จากแสงแดด นอกจากนี้ยังให้ผิวชุ่มชื่นเพื่อส่งเสริมการสร้างเซลล์ผิวใหม่





ราคาต่อเซ็ท (ห้าชิ้น) อยู่ที่ 14,000 บาท แต่สามารถลดราคาได้อีก 20% ค่ะ ดู ๆ เหมือนแพง แต่ถ้าคุณคิดราคาตัวชิ้น ไม่แพงเลยค่ะ สามารถใช้ได้นานถึง 3 เดือน แต่ที่สำคัญที่สุดคือ คุณเห็นผลลัพธ์จริง ๆ โดยที่คุณไม่ต้องไปทำทรีทเม้นท์, เลเซอร์ หรือหาหมออีกเลย
อีกทางเลือกหนึ่งคือสามารถชุดทดลองใช้ก่อนได้ค่ะ
ถ้าสนใจสามารถติดต่อได้ที่ chompoonuch23@hotmail.com หรือ โทรมาที่ 084 4384120 ไม่จำเป็นว่าติดต่อมาแล้วต้องซื้อ โทรมาคุยถามข้อมูลก่อนได้ค่ะ




















Sunday, December 19, 2010

SPF นั้น สำคัญไฉน


เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ในปัจจุบันนี้ว่า แสงแดด สามารถฆ่าคุณได้ อีกทั้งยังมีตัวเลขยืนยันด้วยว่า แต่ละปีคนในสหรัฐอเมริกา เป็นมะเร็งผิวหนังมากถึง ๑ ล้านคน และถ้าจะเทียบกับโรคมะเร็งชนิดอื่นแล้ว ตัวเลขของมะเร็งผิวหนัง มากถึง ๕๐% American Academy of Dermatology เป็นหน่วยงานที่สำรวจ และรายงานตัวเลขข้างต้น อีกทั้งยังเตือนว่า เราต้องเพิ่มความระมัดระวัง และตระหนักถึงปัญหาเรื่องมะเร็งผิวหนังให้มากยิ่งขึ้น และควรอย่างยิ่งที่จะปกป้องผิวจากแสงแดด โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อน แต่ทั้งนี้ วิธีการเลือก หาผลิตภัณฑ์ปกป้องแสงแดดอย่างเหมาะสม อาจเป็นสิ่งที่คนจำนวนมากยังไม่เข้าใจ ดังนั้นน่าจะพิจารณาข้อแนะนำต่อไปนี้

เมื่อคุณจะต้องเผชิญกับแสงแดด มีกฏดังต่อไปนี้

1. ใช้ผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากแสงแดดที่มีค่า SPF (ค่าสัมประสิทธิ์เป็นจำนวนเท่าของเวลาที่เราสามารถทนต่อแสงแดดได้ในภาวะปกติ) หรือ Sun Protectiom Factor อย่างต่ำ 15 ที่ช่วยยืดระยะเวลาในการที่ผิวจะถูกทำลายเมื่อต้องอยู่ท่ามกลางแสงแดด โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว ผู้ที่ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ปกป้องผิว รังสีอัลตร้าไวโอเล็ท จะทำให้ผิวคล้ำไหม้ได้ภายในเวลา 20 นาที ที่อยู่กลางแดด แต่การใช้ SPF 15 จะช่วยยืดระยะเวลาที่ผิวจะถูกทำลายไปได้อีก Dr. Neil S. Goldberg ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนังแห่ง New York กล่าวว่า SPF 15 น่าจะเป็นปริมาณที่เพียงพอสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องมะเร็งผิวหนังอยู่แล้ว หรือผู้ที่ผิวถูกทำลายได้ง่าย อาจจะต้องใช้ถึง SPF ๒๕ หรือมากกว่านั้น แต่ถ้าเป็นปริมาณที่ต่ำกว่า ๑๕ แล้วจะไม่มีประโยชน์ในการปกป้องผิวแต่อย่างใด ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่มีผิว ที่ไวต่อแสงแดดขนาดไหน

เคยมีการทดสอบประสิทธิภาพในการปกป้องผิว ของ SPF ที่มีค่าต่างกัน พบว่า

SPF 15 สามารถปกป้องรังสีที่เป็นอันตรายได้ร้อยละ 93
ในขณะที่ SPF 25 ปกป้องได้ร้อยละ 96
ส่วน SPF 30 ปกป้องได้ร้อยละ 97

ดังนั้นถ้าคุณไม่ได้มีผิวที่ไวต่อการถูกทำลายโดยแสงแดด
ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะเลือกใช้ SPF สูงกว่า 15


อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากแสงแดดส่วนมาก มักจะใช้ในปริมาณที่น้อยเกินไป
ดังนั้น ควรปฏิบัติตามข้อแนะนำที่แนบมากับผลิตภัณฑ์ด้วย

2. เลือกผลิตภัณฑ์ที่สามารถป้องกัน Broad-Spectrum ได้ด้วย

ในขณะที่หลาย ๆ คน ให้ความสำคัญกับ SPF ที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVB อันก่อให้เกิด อาการ ผิวหนังไหม้เกรียมจากแสงแดด และสามารถจะลุกลามไปถึงอาการมะเร็งผิวหนังได้นั้น ยังมีรังสีอีกชนิดหนึ่งที่ควรตระหนักถึง คือ UVA ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบรุนแรงนัก แต่สมควรจะได้รับการป้องกัน เนื่องจาก UVA ทำให้เกิดอาการผิวหนังเหี่ยวย่นและดูสูงวัยนั่นเอง และยิ่งไปกว่านั้น รังสีดังกล่าวอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับมะเร็งผิวหนังได้เช่นกัน

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากแสงแดดจำนวนมาก ได้เพิ่มสารป้องกับรังสี UVA ที่เรียกว่า Broad-Spectrum ที่สามารถปกป้องผิวได้ทั้งจากรังสี UVA และ UVB แม้ขณะนี้ยังไม่เป็นที่แพร่หลายนัก แต่น่าจะเริ่มมีให้เห็นกันหนาตาในอีก 2 -3 ปีข้างหน้า

3. ทาครีมกันแดดซ้ำบ่อย ๆ

ปัจจุบันนี้ ยังไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัดว่า เราควรจะทาผลิตภัณฑ์กันแดดซ้ำบ่อยขนาดไหน แต่การทาบ่อย ๆ นั้นเป็นหัวใจสำคัญของการปกป้องผิวจากแสงแดด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเวลาที่ต้องออกจากบ้าน หรือทำงานนอกอาคาร Dr. Martin Weinstock ผู้เชั่ยวชาญด้านโรคผิวหนังแห่ง Brown University และ ประธานกลุ่ม Skincare Advisory แห่ง American Cancer Society กล่าวว่า ถ้าคุณจะไปพักผ่อนชายหาดเต็ม ๆ วัน คุณก็ต้องทายากันแดดซ้ำ ๆ ทั้งวันเหมือนกัน หรืออย่างน้อยทาซ้ำทุก ๆ 80 นาที ถ้าผลิตภัณฑ์ที่ใช้ เป็นผลิตภัณฑ์ที่รักษาความชุ่มชื้น หรือ Water Resistant งนั้น ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า

กฏที่ดีที่สุดของการใช้ยากันแดดก็คือ ทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง หรือทุก ๆ ครั้งที่คุณรู้สึกว่าผิวเริ่มแห้ง นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณากิจกรรมที่ทำด้วย ยิ่งถ้าเป็นกิจกรรมที่เสียเหงื่อก็ยิ่งต้องทาซ้ำบ่อย ๆ

Go to our online shop to make a purchase today!
  • drsecretstore

  • or contact K. Chompoonuch @ 084 4384120

    Tuesday, December 14, 2010

    ข้อคิดก่อนทำเลเซอร์

    ข้อคิด ก่อนทำ เลเซอร์
    ควรรู้อะไรบ้าง ก่อนการทำเลเซอร์




    การรักษาปัญหาผิวด้วย เลเซอร์ นับว่าเป็นตัวเอกของการรักษาทางด้านผิวหนัง ความงามก็ว่าได้ แม้ใครๆจะบอกว่า เลเซอร์เป็นเสมือนเทคโนโลยีที่ฟ้าส่งมาให้ผู้หญิงแต่ก็มีสิ่งที่ทำให้เป็นกังวลอยู่บ้างก็คือ เลเซอร์จะสามารถแก้ได้ทุกปัญหาของผิวได้จริงหรือผลของการรักษาด้วย เลเซอร์ นั้น ส่วนใหญ่ เป็นที่พอใจสำหรับผู้ที่ได้รับการรักษา แต่ก็มีหลายต่อหลายครั้งที่ การรักษาด้วย เลเซอร์ ก่อให้เกิดผลข้างเคียงตามมาค่ะ

    มีอะไรบ้างที่เราควรรู้เมื่อใช้บริการจากเจ้าลำแสงมหัศจรรย์นี้

    ทำความรู้จักกับ เลเซอร์
    คำว่า เลเซอร์ (Laser)ที่จริงแล้วย่อมาจากคำเต็มว่า Light Amplification by StimulatedEmission of Radiation ซึ่งหมายถึงการใช้พลังงานแสงที่มีความเข้มสูงยิงไปที่เป้าหมาย คือ บริเวณผิวที่มีปัญหา

    แรกเริ่มทีเดียว ทางการแพทย์ได้นำ เลเซอร์ มาใช้รักษาเนื้องอกของผิวหนังและ ต่อมาก็มีการพัฒนามาใช้ในการดูแลความงาม

    โดยปกติ เลเซอร์ จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทกว้างๆ คือ เลเซอร์ที่ทำแล้วเกิดแผล ( Abrasive Laser)และ เลเซอร์ที่ทำแล้วไม่เกิดแผล ( Non-Abrasive Laser)ซึ่งแบบแรกทำแล้วเห็นผลเร็วและชัดเจนกว่า แต่ก็มีอาการข้างเคียงมากกว่าส่วนแบบหลังต้องทำหลายครั้งจึงเห็นผล แต่ก็จะลดอาการข้างเคียงเช่นการไหม้แสบร้อน ฯลฯ ลงได้มากกว่า

    เลเซอร์กับการแก้ปัญหาผิว

    ปัจจุบัน เลเซอร์ช่วยแก้ปัญหาผิวพรรณได้หลายอย่างเช่นช่วยลดริ้วรอย การใช้ เลเซอร์ กรอผิว จะทำให้หนังกำพร้ามีการลอกตัวริ้วรอยก็จะลดน้อยลง ทั้งความร้อนของเลเซอร์ ก็จะทำให้เส้นใยคอลลาเจนหดตัวผิวจึงดูตึงเรียบขึ้น ริ้วรอยจางลงช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใยคอลลาเจนในผิวเพิ่มขึ้นรูขุมขนเล็กลงทำให้สภาพผิวหน้าโดยรวมดูดีขึ้น

    ทั้ง เลเซอร์ยังสามารถนำมาใช้ในการแก้ปัญหาอื่นๆของผิวได้ด้วยเช่น รอยแผลเป็น ปัญหาเส้นเลือดฝอยปานแดง ความผิดปกติของการอักเสบบนผิวหน้า กระและรอยสักลึก ปาน กำจัดขนปัญหาเส้นเลือดดำที่ขา รอยแผลนูน รอยแตกลายของผิว หูดซึ่งแพทย์จะเลือกชนิดของ เลเซอร์ และพลังงานที่เหมาะสมเพื่อช่วยในการแก้ปัญหาเหล่านี้ของผิวพรรณ


    เลเซอร์ได้ผลดีกับทุกคนจริงหรือ

    มีสิ่งที่ควรรู้ก่อนจะตัดสินใจไปทำ เลเซอร์ ก็คือ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำ เลเซอร์ แล้วได้ผลดีเหมือนกันหมด เพราะมีข้อจำกัดหลายอย่าง ที่อาจทำให้การทำ เลเซอร์ กับคนหนึ่งอาจไม่ได้ผลดีเท่ากับอีกคน อันได้แก่

    - การทำ เลเซอร์ ทั่วไป คนผิวขาวจะเห็นผลดีและชัดเจนกว่าคนผิวคล้ำ และ คนที่มีริ้วรอยมาก ทำแล้วก็จะเห็นผลชัดเจนกว่าคนที่มีริ้วรอยน้อย
    - คนผิวคล้ำ อาจมีความเสี่ยงของ ผลข้างเคียงจากการทำ เลเซอร์ มากกว่าผิวขาว เช่น อาจเกิดรอยดำที่ผิวหลังการทำ ที่เรียกว่าอาการ hyper pigmentation หรือเกิดรอยไหม้ของผิวได้ และในทางกลับกัน คนผิวขาวเมื่อทำ เลเซอร์ ก็อาจเกิดอาการ hypo pigmentation หรือสภาวะผิวขาวมากกว่าปกติขึ้นได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากเป็น เลเซอร์ แบบที่ทำแล้วเกิดแผล
    - การทำ เลเซอร์ กับผิวรอบดวงตาบ่อยๆ หรือใช้พลังงานมากเกินไป อาจทำให้เกิดสภาวะการดึงรั้งของตา ทำให้หลับตาได้ไม่เต็มที่ขึ้นได้
    - ไม่ว่าจะเป็น เลเซอร์ แบบมีแผลหรือไม่มีแผล หลังการทำก็อาจมีอาการบวมแดงของผิวหรือแสบร้อนได้ ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ผิวจึงจะกลับคืนสู่สภาพปกติ ซึ่งก็อยู่ที่การดูแลรักษาหลังการทำด้วย และ ควรหลบแดดให้มากที่สุดหลังจากที่ทำ เลเซอร์ มาแล้ว
    - แม้ เลเซอร์ จะสามารถกำจัดฝ้า กระ ของผิวหนังได้ แต่ก็ไม่ได้ป้องกันการเกิดเม็ดสีใหม่ ทำให้ผิวอาจเกิดเป็นฝ้าหรือกระขึ้นใหม่ได้ ดังนั้น หลังทำเลเซอร์นี้แล้ว ก็ควรดูแลผิวพรรณด้วยการหลบแดด และใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ

    ดูแลผิวอย่างไรหลังทำเลเซอร์

    ผิวหลังทำ เลเซอร์ ควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เพราะ เลเซอร์ ก็คือ พลังงานความร้อน เมื่อส่งพลังงานนี้ลงไปที่ผิวโดยตรงก็จะมีการเปลี่ยนแปลงของการทำงานของผิวเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะถ้าเป็น เลเซอร์ แบบมีแผล ก็ต้องดูแลผิวเหมือนการดูแลแผลหลังผ่าตัดเช่น มีการล้างแผล ฯลฯ แต่ถ้าเป็น เลเซอร์ แบบไม่มีแผล ก็จะง่ายขึ้น แต่ก็ต้องดูแลด้วยเหมือนกัน เช่นอาจต้องงดเว้นการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ก่อความระคายเคืองต่อผิวได้ง่าย เช่น พวกไวเทนนิ่ง หรือ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมให้การขัดลอกผิว พวกนี้ควรงดไปก่อนสัก 2-3 วัน ส่วนพวกผลิตภัณฑ์มอยซ์เจอร์ไรเซอร์ให้ความชุ่มชื้นผิวนั้น หลังทำ เลเซอร์ แบบไม่มีแผล ก็สามารถใช้ได้ตามปกติ

    Go to our online shop to make a purchase today!
  • drsecretstore

  • or contact K. Chompoonuch @ 084 4384120

    Sunday, December 12, 2010

    How Does Dr Seager Help You?

    As we get older, there can be significant changes in the way our skin looks. This isn’t hard to imagine. Our skin’s declining metabolism, coupled with the presence of free radicals, environmental pollution and sun exposure wears down our skin.

    The epidermis(outer layer of skin) begins to lose its ability to retain moisture and thus becomes dry.

    As collagen diminishes, skin is subjected to wrinkling and sagging. The damage to the dermis (inner layer of skin) from the effects of sun exposure over the decades also becomes visible.

    We begin to see evidence of ageing in the appearance of fine lines and wrinkles, dry and rough skin texture, uneven skin tone, skin dullness, visible pores, age spots and lack of firmness.

    What Happened to My Skin As I Get Older?

    AGE APPEARANCE PHYSIOLOGY


    Less than 15 Smooth texture, small pores Good skin hydration, Excellent cell regeneration abilities, Low sebaceous gland acitivity

    15 – 25 Acne in surface texture, fine lines begin to form, pore size increases High sebaceous gland activity. Mild drop in cell regeneration ability and collagen production, Marginal hydration of the skin


    25-45 More fine lines and first wrinkles, early signs of sagging near eyes, some loss of elasticity, adult and acne Moderate drop in cell regeneration ability and collagen production, Significant drop in skin hydration








    45-55 More wrinkles, rough texture, pores and age spots enlarge, sagging near eyes and cheek Significant drop in cell regeneration ability and collagen production. Thinning of epidermis. Skin tends to be dry









    More than 55 Wrinkles and fine lines in abundance, uneven skin tone and pigmentation, sagging worsens, dark circles under eye Inefficient regeneration abilities

    Abundance of damaged connective tissue. Low production of collagen and sebum
    Over production of melanin



    Dr Seager & Your Skin



    Now with Dr Seager newly enhanced T series, you can achieve a radiant complexion like never before.

    Dr Seager knows that there is just no shortcut to healthy and translucent skin. We believe that a radiant complexion can only be achieved with a comprehensive and effective regime.

    Specially developed for and tested on Asian skin, every Dr Seager formula is extremely effective yet gentle on the skin. When used together, they complement and synergies one another’s effect, showing up a miraculous results on your skin.

    Dr Seager T Series – Treatment of pigmentation, acne and uneven skin tone.
    Soothe – infused with botanical extracts, Toner T2 is an extremely hydrating and comforting formula that strengthens and soothes skin from within.

    Neutralise - UV rays induce free radical production on the environment casing skin cell damage and accelerate the breakdown of collagen and elastin, resulting in fine lines and wrinkles.

    Infused with antioxidants like Idebenone, vitamin C and Vitamin E, Dr Seager T series neutralises free radicals and minimises cellular damage.

    Enhance – formulated to intensively treat dull looking skin, acne marks and uneven pigmentation, Skinlight T3 promotes skin renewal by gently stimulating micro-exfoliation of surface layers for enhanced anti-aging and brightening effects.

    Strengthen – studies have proven that Idebenone is one of the most potent antioxidants which counters skin aging, stimulates collagen and elastin production, reduces the appearance of fine lines and wrinkles, smoothens and strengthens skin.

    Nourish – Developed based on a synergistic blend of multi-functional active ingredients such as vitamins C and E, Skinrecon T4 offers exceptional skin calming properties while renewing, restoring and nourishing your skin.

    Revive – Skinrecon T4 accelerates skin renewal and activates the skin’s natural defence mechanisms to block out external irritants that can trigger future damage, keeping complexion crystal clear and even.

    Go to our online shop to make a purchase today!
  • drsecretstore

  • or contact K. Chompoonuch @ 084 4384120

    Monday, December 6, 2010

    Causes of Freckles, Brown Spots and Hyperpigmentation‏

    Changes in skin color, called melasma, is the result of increased melanin production or hyperpigmentation on localized patches of the skin, especially on the face. Find out what causes skin discoloration and how you can battle those brown spots.




    2 Main Causes of Brown Spots
    Sun Damage. Unprotected sun exposure can cause areas of skin discoloration. These discolored patches have many names: from solar lentigenes, freckles, sun spots, age spots to liver spots, but they basically mean the same thing.

    Sun spots appear as small brown patches of freckles on fairer skins. For darker skins, they emerge as small patches of ashen-grey discoloration.


    Hormones. Patches of skin discoloration can also be caused by birth control pills, pregnancy or estrogen replacement therapy. These are known as hormone masking or pregnancy masking.


    What Are Those Brown Spots?
    Freckles are small brown spots scattered mainly across the cheeks and are common in fair-skinned Asians who sunburn easily.
    Liver Spots are caused by over-exposure to the sun and are larger and darker than freckles, often with irregular edges.
    Melasma are light to dark brown blotches of pigmentation that commonly develop slowly over the forehead and cheeks. Melasma may be caused by hormone changes.
    Fading Brown Spots
    Lightening Products. Hyperpigmentation, especially freckles and brown spots can be effectively treated with over-the-counter skin-lightening and/or exfoliating products such as 1-2% hydroquinone, AHAs, BHAs and kojic acid. This works best for superficial discoloration that occurs in the epidermis.


    Exfoliate. For superficial skin discoloration, exfoliating with AHAs and BHAs also help remove the built-up layers of melanin by increasing the turnover of cells.


    Resurfacing Procedures. For discolored pigment that lies deep in the dermis, topical agents usually do not work well. Laser resurfacing procedures and chemical peels can improve the condition, but results vary from person to person. There is also a risk of worsening of the discoloration for darker individuals.


    Don't Forget Sunblock!
    While you're treating brown spots, don't forget your sunblock. Your lightening creams may be fading your existing brown spots, but remember to use sunblock to prevent new ones from emerging.

    Go to our online shop to make a purchase today!
  • drsecretstore

  • or contact K. Chompoonuch @ 084 4384120

    Sunday, November 21, 2010

    ฉีด Botox จำเป็นไหม



    การฉีด Botox เพื่อลดริ้วรอย เป็นสิ่งที่ได้ยินมากมาย จากการโฆษณา ดาราต่าง ๆ หรือ แม้แต่หมอผิวหนังเอง ก็พยายามชักจูงให้ฉีด
    หลายคนมักคิดว่า Botox เป็นสุดยอดของการลดริ้วรอยเพราะคนที่เคยฉีดมาต่างก็บรรยายสรรพคุณว่าทำให้หน้าเรียบเนียน ดูเด็กขึ้นอย่างทันที

    ตอนนี้การฉีด Botox เลยกลายเป็นแฟชั่นอย่างหนึ่ง เพราะดารา หรือ แม้แต่เพื่อนคุณบางคนก็ไม่พลาดกับการฉีด Botox
    บางคนเห็นผลจากที่ดาราฉีดเลยทำให้อยากทำตามบ้าง เลยเป็นคำถามว่า ฉีด Botox ดีไหมหรือจำเป็นไหม???

    ในความเป็นจริงในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ไม่มีความเสี่ยง การฉีด Botox ก็ไม่เป็นข้อยกเว้น

    คำว่า โบท็อกซ์ (Botox?) เป็นชื่อทางการค้า (trade name) ของสารชีวภาพชนิดหนึ่งคือ โบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum toxin A) ซึ่งถ้าใครไปค้นคำว่า โบทูลินัม ดู ก็จะพบว่าเป็นชื่อของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งคือ คลอสทริเดียม โบทูลินัม (Clostridium botulinum) ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษแก่มนุษย์

    คำว่า ท็อกซิน นั้นแปลตรงตัวว่า สารพิษ แต่ว่าคำนี้เป็นคำกลางๆ นะคะ กล่าวคือ อาจจะเป็นสารพิษต่อมนุษย์หรือไม่ก็ได้ เช่น สารพิษบางอย่างเป็นพิษต่อแมลงบางชนิด แต่ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ ในกรณีนี้ก็เรียกสารดังกล่าวว่า ท็อกซิน ได้เช่นเดียวกัน ส่วนคำว่า เอ นั้นระบุว่า ท็อกซินชนิดนี้เป็นหนึ่งในท็อกซินที่สิ่งมีชีวิตชนิดนี้ผลิตได้ (มีทั้งหมด 7 ชนิด)

    ขอสรุปง่ายๆ เสียตรงนี้ก่อนว่า โบท็อกซ์ นั้นมีที่มาจากท็อกซิน ที่พบในแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษในมนุษย์นั่นเอง

    อ่านมาถึงตรงนี้ บางคนอาจจะเริ่มสงสัยแล้วสินะคะว่า ถ้าการมีท็อกซินดังกล่าวมีอันตรายเช่นนั้นแล้ว ทำไมยังจะมีคนต้องการฉีด โบท็อกซ์ อยู่อีก หรือไม่เช่นนั้นก็อาจจะสงสัยว่า ก็แล้ว โบท็อกซ์ มาเกี่ยวข้องกับการลบรอยเหี่ยวย่นได้อย่างไร คำตอบเรื่องนี้ง่ายนิดเดียวนั่นก็คือ

    การที่กล้ามเนื้อส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ (หรือเป็นอัมพาตไป) ก็จะมีผลข้างเคียงสำคัญคือ มันจะไม่สามารถทำให้เกิด รอยเหี่ยวย่น ได้นั่นเองคะ

    ประเด็นที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งก็คือ การฉีดโบท็อกซ์นั้นจะเห็นผลได้เร็วมากคือ อาจจะเพียงไม่กี่ชั่วโมงไปจนถึง 2-3 วันภายหลังจากการฉีด แต่ผลจากการฉีดจะไม่คงอยู่อย่างถาวรนะคะคือ มีรายงานว่าจะอยู่ได้ราว 3-6 เดือน (อาจนานได้ถึง 8 เดือน) หากต้องการลบรอยย่นอีก ก็ต้องฉีดซ้ำอีก โดยจะต้องเป็นการฉีดโดยตรง ที่กล้ามเนื้อบริเวณนั้นๆ เพื่อลดความเสี่ยง จากการแพร่กระจายของท็อกซิน ที่อาจจะเกิดขึ้นได้เช่นกัน

    ผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกซ์นั้น มีหลายรูปแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นอาการเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่ปวดศีรษะ คลื่นไส้ คัน เจ็บคอ มีไข้ มีอาการคล้ายเป็นหวัด ไปจนถึงเกิดอาการเจ็บปวดและเกิดแผลช้ำบริเวณที่ฉีด เกิดอาการกล้ามเนื้อเปลือกตาหย่อน กล้ามเนื้ออ่อนแรง และเกิดการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนบน เป็นต้น

    ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดนั้น การฉีดโบท็อกซ์ที่ผิดขนาดไปมากๆ อาจทำให้คนไข้เสียชีวิตได้เช่นกัน

    ฉีดแล้วหน้าเหมือนหน้ากาก


    ในเอกสารการวิจัยทางการแพทย์ก็มีระบุว่า ผู้ที่ฉีดโบท็อกซ์บ่อยๆ นั้นมีผลข้างเคียงที่คาดไม่ถึงอีกอย่างหนึ่งก็คือ มีใบหน้าที่ ดูคล้ายหน้ากาก คือ แลดูไม่มีอารมณ์ ความรู้สึกมากขึ้นทุกที ซึ่งก็คล้ายกับอาการ ที่พบในผู้ป่วยที่โดนพิษโบท็อกซ์ ตามธรรมชาติบางราย ที่เป็นอัมพาตของกล้ามเนื้อใบหน้าบางส่วน เนื่องจากโบท็อกซ์ อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ง่ายและได้มาก การควบคุมปริมาณหรือโดส (dose) ของโบท็อกซ์ให้ถูกต้องเหมาะสม จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

    ยังไงก็ขอให้เพื่อน ๆ ลองศึกษารายละเอียดให้ดี ๆ ก่อนฉีดนะคะ ว่าโบท๊อกซ์จำเป็นสำหรับคุณหรือเปล่า

    Go to our online shop to make a purchase today!
  • drsecretstore

  • หรือ ติดต่อคุณชมพูนุช ที่ 084 4384120 แหล่งข้อมูล : ขอขอบคุณ ดร. นำชัย ชีววิวรรธน์

    ฝ่ายบริหารจัดการความรู้